celestethailand.com
Celeste Thailand

“สิว” เป็นหนึ่งในตัวปัญหาใหญ่ของทั้งผู้หญิงและผู้ชายโดยเฉพาะในช่วงวัยรุ่น ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ส่วนใหญ่อาการจะไม่รุนแรงมากนัก แต่ในบางคนอาจจะมีอาการอักเสบรุนแรงและทิ้งรอยแผลเป็นหรือรอยดำไว้บนใบหน้า ทำให้สูญเสียความมั่นใจได้ แต่หากดูแลรักษาสิวโดยใช้วิธีที่เหมาะกับสภาพผิว ความรุนแรงของสิว และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสม ก็จะช่วยทำให้ดูแลและป้องกันการเกิดสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ บทความนี้จะมาแนะนำเคล็ดลับดูแลสิวอย่างผู้เชี่ยวชาญ บอกลาหน้าสิวด้วยวิธีง่ายๆที่ทุกคนสามารถทำเองที่บ้านได้

สิวคืออะไร

สิว คือการอักเสบหรืออุดตันของต่อมไขมันในรูขุมขน ปกติแล้วไขมันจะออกมาตามรูขุมขนซึ่งหากมีการอุดตันของทางเดินก็จะทำให้เกิดสิวอุดตันได้ โดยเป็นลักษณะตุ่มเม็ดเล็กๆมีสีขาวอยู่ด้านใน แต่หากมีตัวกระตุ้นเพิ่มเติม เช่น แบคทีเรีย ก็จะทำให้เกิดการอักเสบเพิ่มมากขึ้นจนกลายเป็นตุ่มหนอง หรือสิวหัวช้างได้ สิวส่วนมากมักจะเกิดขึ้นบริเวณใบหน้า ลำคอ และลำตัวส่วนบน ซึ่งเป็นส่วนที่มีต่อมไขมันขนาดใหญ่อยู่อย่างหนา

สาเหตุการเกิดสิว

โดยทั่วไปสิวจะเกิดขึ้นมากในวัยรุ่นที่อยู่ในช่วงการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน ซึ่งมี เอนโดรเจน ที่เยอะมากมักพบในช่วงอายุ 12-18 ปี และมักจะหายไปในช่วง 20-25 ปี แต่บางคนอาจจะเป็นๆหายๆ จนอายุถึง 40 ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ ในการใช้ชีวิตประจำวันซึ่งเราจะพูดถึงสาเหตุการเกิดสิวกันต่อไป นอกจากฮอร์โมนในช่วงวัยต่างๆที่ทำให้เกิดสิวและการอุดตันของรูขุมขนหรือความมันบนใบหน้าก็ยังรวมไปถึงปัจจัยในการใช้ชีวิต พันธุ์กรรมของแต่ละบุคคล อาหารการกินก็ยังเป็นสาเหตุรวมอยู่ด้วย

การรักษาความสะอาด การล้างหน้าหรือการเช็ดเครื่องสำอางเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ถ้าหากทำไม่สะอาดจะทำให้เกิดการตกค้างของสิ่งสกปรกบนใบหน้า หรือการใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของน้ำมันมากเกินไป การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าที่ไม่เหมาะสมกับผิวก็ทำให้เกิดสิวได้ รวมถึง พฤติกรรมบางอย่างที่เราทำโดยไม่รู้ตัวเช่นการเอามือลูบไปที่ใบหน้า แกะ เกา อยู่เป็นประจำอาจทำให้เกิดการระคายเคืองและนำพาแบคทีเรียมาทำให้สิวที่เป็นอยู่แล้วเกิดการอักเสบขึ้นได้

    อาหารที่ทำให้เกิดสิว เช่น อาหารขยะของทอดจำพวก เบอร์เกอร์ เฟรนซ์ฟรายส์ หรืออาหารไขมันสูง เพราะกรดไขมันจะสร้างสารที่ก่อการอักเสบเพิ่มขึ้นได้ อาหารที่มีรสหวานเกินไป เพราะน้ำตาลจะแปรสภาพเป็นกรดซึ่งทำให้เกิดการอักเสบของสิวและส่งผลเสียต่อระบบฮอร์โมนอีกด้วย  

    ความเครียดและการพักผ่อนไม่เพียงพอ เมื่อเรามีภาวะความเครียดส่งผลให้เราเกิดอาการนอนไม่หลับต่อมาส่งผลให้เกิดปัญหาสิวตามมา เนื่องจาก ร่างกายผลิตฮอร์โมนที่ชื่อว่า คอร์ติโซล ที่ทำให้เกิดการกระตุ้นต่อมไขมันบนผิวหนังผลิตน้ำมันออกมาเยอะเกินความจำเป็น กับฮอร์โมนที่เกิดจากความเครียดที่ถูกหลั่งออกมาผสมกับเซลล์ผิวเก่าหรือสิ่งสกปรกบนใบหน้าจึงทำให้เกิดการอุดตันของสิ่งสกปรกในรูขุมขนจนกลายเป็นสิวในที่สุด

    ปัจจัยภายในร่างกาย เช่น การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมน การตอบสนองของร่างกายต่อฮอร์โมน กรรมพันธุ์ หรือผิวพรรณ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ติดมาตั้งแต่กำเนิด โดยฮอร์โมนที่ทำให้มีผลต่อการเกิดสิว ได้แก่ ฮอร์โมนเพศแอนโดรเจน ซึ่งจะไปกระตุ้นต่อมไขมัน มักจะมากขึ้นเมื่อย่างเข้าสู่วัยรุ่น จึงทำให้พบสิวได้มากในช่วงวัยนี้

    ปัจจัยภายนอก เช่น สภาพแวดล้อม อากาศ เครื่องสำอาง อาหาร หรือยาบางชนิด รวมไปถึงการดูแลผิวของแต่ละบุคคลด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้คุณยังสามารถป้องกันได้ เช่น ลดอาหารหวานและอาหารจำพวกแป้งที่อาจทำให้เกิดสิวได้ง่าย เลือกใช้เครื่องสำอางที่เหมาะกับสภาพผิวและไม่มีส่วนผสมที่ทำให้อุดตันรูขุมขน และลดการใช้ยาที่กระตุ้นทำให้เกิดสิวเพิ่มขึ้นได้ เช่น ยาคุมกำเนิด และยาสเตียรอยด์

การรักษาสิวแบ่งตามความรุนแรง

การรักษาสิวโดยทั่วไปคือ การป้องกันไม่ให้เกิดสิวใหม่และลดการอักเสบของรอยสิวเดิม ซึ่งทั้งหมดนี้จะต้องใช้ระยะเวลาในการรักษา ก่อนที่จะเริ่มรักษาสิวหรือดูแลผิวที่เป็นสิว จะต้องประเมินระดับความรุนแรงของสิวและสภาพผิวหน้าเบื้องต้นก่อน เพื่อที่จะได้ทราบว่าปัญหาผิวที่กำลังเผชิญอยู่นั้นควรจะต้องดูแลอย่างไรจึงเหมาะสม เนื่องจากแต่ละระดับความรุนแรงของสิวนั้นมีการรักษาที่แตกต่างกันออกไป โดยแบ่งได้ดังนี้

     สิวเล็กน้อย สิวไม่อักเสบหรือมีสิวอักเสบ เช่น สิวหัวดำและสิวหัวขาว ไม่เกิน 10 จุดบนใบหน้า ความรุนแรงของสิวในระดับนี้สามารถดูแลรักษาด้วยตัวเองได้ โดยใช้ยาทาเฉพาะที่ เช่น ยาในกลุ่ม Benzoyl peroxide 2.5-5% ชนิดทา โดยทาบางๆทิ้งไว้ 5-10นาที กับยากลุ่ม Retinoid เพื่อเร่งการผลัดเซลล์และต้านการอักเสบ ช่วยทำให้สิวหายเร็วขึ้น รวมถึงใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดใบหน้าและสกินแคร์ที่เหมาะสำหรับผิวที่มีปัญหาสิว มีสารที่ช่วยลดการเกิดสิวและไม่ทิ้งความมันตกค้าง ต้องระวัง ไม่แคะ แกะ เกา รวมทั้งบีบสิว

     สิวปานกลาง มีสิวที่เริ่มอักเสบ เป็นผื่นนูนหรือตุ่มหนองขนาดเล็กมากกว่า 10 จุด และ/หรือ มีตุ่มขนาดใหญ่น้อยกว่า 5 จุด สามารถสัมผัสได้ถึงหัวสิวแข็งๆที่ขึ้นตำแหน่งเดิมซ้ำ โดยความรุนแรงของสิวในระดับปานกลางนี้สามารถรักษาโดยใช้ยาทาเฉพาะที่ร่วมกับยาปฏิชีวนะชนิดรับประทาน เช่น ยาในกลุ่ม Tetracycline, Erythromycin, หรือ Doxycycline ซึ่งควรปรึกษาแพทย์และเภสัชกรก่อนใช้ยา

     สิวรุนแรง มีสิวผื่นนูนหรือตุ่มหนองจำนวนมากกระจายเป็นวงกว้าง หรือมีสิวตุ่มขนาดใหญ่หรือสิวหัวช้างเป็นจำนวนมาก หรือมีสิวหัวช้างที่อักเสบอยู่นานและมีหนองไหล การรักษาในระดับความรุนแรงนี้จะต้องเข้ารักการรักษาโดยการปรึกษาแพทย์ผิวหนังหรือผู้เชี่ยวชาญตั้งแต่เริ่มเป็นสิว เพื่อรับคำแนะนำและการรักษาที่เหมาะสม

วิธีรักษาสิวแบ่งตามประเภท

สิวที่เกินขึ้นบนใบหน้าและร่างกายของเรานั้นมีลักษณะที่ไม่เหมือนกัน มีทั้งใหญ่บ้าง เล็กบ้าง แดง มีหนองอักเสบ ซึ่งการรักษาต้องทำความรู้จักกับสิวของแต่ ละประเภทให้ดีเสียก่อน จึงจะสามารถรักษาได้ตามระยะและประเภทของสิวได้ถูกต้อง

สิวอุดตันหัวดำ (Blackheads)

เป็นสิวอุดตันที่ลักษณะเป็นตุ่มนูน จะเห็นได้ง่ายเพราะมีรูเปิดออกจนเห็นหัวสิวเป็นจุดสีดำเล็กๆ ซึ่งสีดำนี้เกิดจาก น้ำมันทำปฎิกิริยา oxidation กับออกซิเจนในอากาศ เปลี่ยนให้ไขมันกลายเป็นสีดำ มักจะพบได้บริเวณ หน้า จมูก คาง

     วิธีรักษา : ทายาสิวสำหรับสิวอุดตันโดยเฉพาะเลือกที่ส่วนผสมของ Benzoyl Peroxide จะสามารถช่วยให้รูขุมขนเปิดและลดการอุดตัน ทำให้กดหัวสิวออกได้ง่ายขึ้น รวมไปถึงการดูแลความสะอาด

สิวอุดตัวหัวขาว (Whiteheads)

หรือสิวอุดตันหัวปิด มีลักษณะเป็นตุ่มนูนสีขาวอยู่ใต้ผิวหนัง สิวยังไม่มีรูเปิด ทำให้เกิดการนูนขึ้นมาเมื่อสัมผัสจะรู้สึกได้ว่าเป็นก้อนไตเล็กๆใต้ผิวหนัง สิวชนิดนี้หากปล่อยไว้นานหรือหากเกิดการกระตุ้นขึ้นจะทำให้เปลี่ยนสภาพเป็นสิวอักเสบได้ สิวประเภทนี้เกิดจาก การเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมน

      วิธีรักษา : ล้างทำความสะอาดใบหน้าอย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนประกอบของน้ำมัน หลีกเลี่ยงแสงแดด ยารักษาสิวให้เลือกที่มีส่วนผสมอย่าง Tretinoin ยากลุ่มวิตามินเอ เพื่อลดการทำงานของต่อมไขมันและละลายสิวอุดตันใต้ผิวการใช้ยาควรอยู่ใต้คำแนะนำของแพทย์

สิวเสี้ยน (Comedone)

มีลักษณะเป็นเหมือนเสี้ยนเล็กๆ หรือเป็นเส้นไขมันสีขาว เป็นความผิดปกติชนิดหนึ่งที่เกิดกับรูขุมขน เกิดจากการสะสมของชั้นขี้ไคลร่วมกับการสะสมของขนอ่อนในรูขุมขน สามารถพบได้หลายบริเวณที่มีรูขุมขนขนาดใหญ่เช่น แผ่นหลัง และ จมูก

     วิธีรักษา : ใช้ยาเพื่อลดการอุดตัน เช่น ยาทาเบนซิล เพอร์ออกไซต์ หรือยาในกลุ่มวิตามินเอ จะช่วยให้สิวเสี้ยน หลุดขึ้นง่ายร่วมกับการกดสิว หรือใช้ ผลิตภัณฑ์ลอกสิวเสี้ยน

สิวตุ่มนูนแดง (Papule)

เป็นสิวที่ไม่มีหัวสิวมีลักษณะเป็นตุ่มนูนแดงขนาดเล็ก ถือเป็นสิวอักเสบระยะแรก และยังสามารถพัฒนาเป็นสิวอักเสบได้อีกด้วย ซึ่งเกิดจากแบคทีเรียไปอุดตันรูขุมขน จากนั้นร่างกายของเราจึงสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาวเพื่อทำการต่อสู้กับแบคทีเรียนี้ ทำให้เกิดตุ่มสิวนูนแดงขึ้นมาและเมื่อสัมผัสจะเป็นไตแข็งๆและทำให้รู้สึกเจ็บ

     วิธีรักษา : เนื่องจากเป็นสิวที่ไม่มีหัวสิวจึงไม่สามารถกดออกได้ ยาที่ใช้ควรทีส่วนผสมของ Benzyl Peroxide ที่สามารถต้านเชื้อแบคทีเรีย และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนต่อผิว หลีกเลี่ยงการนวดหน้าหรือการสครับหน้าเพราะอาจทำให้อักเสบมากกว่าเดิมได้

สิวอักเสบ (Pustule)

สิวประเภทนี้จะไวต่อการสัมผัส เมื่อจับแล้วจะรู้สึกเจ็บ มีลักษณะเป็นตุ่มหนองสีเหลือง บวมแดง เกิดจากความมันบนใบหน้าและการอุดตันของรูขุมขนที่เกิดจากเซลล์ผิวที่ตายแล้วรวมอยู่ที่บริเวณรูขุมขน ทำให้เกิดการอักเสบขึ้นเป็นบริเวณกว้าง

      วิธีรักษา : ล้างหน้าให้สะอาดแบบอ่อนโยน และใช้ยาที่สามารถลดการอักเสบและยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียในหัวสิว และอาจมีการรักษาเสริมจากแพทย์ผิวหนังเช่นการ กดสิวแต่สิ่งที่สำตัญของการกดคือต้องเอาหนองอุดตันออกให้หมด หากถูกนำออกไม่หมดอาจจะเกิดการอักเสบซ้ำขึ้นอีกได้ หรืออาจใช้การฉีดสิวทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์

สิวหัวช้าง (Cystic Acne)

เป็นสิวที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและถือเป็นสิวอักเสบชนิดรุนแรง โดยจะเริ่มจากตุ่มเล็กก่อนแล้วจะเริ่มขยายใหญ่ขึ้น เมื่อสัมผัสจะมีอาการเจ็บปวด หัวสิวมักแตก มีหนองเยอะ และมีเลือดไหลออกมาก เกิดจากการอักเสบใต้ผัวหนังอย่างรุนแรงเป็นเวลานาน โดยประกอบไปด้วย เซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว น้ำมัน เชื้อแบคทีเรีย มักจะเกิดขึ้นที่ ใบหน้า หน้าอก และแผ่นหลัง

      วิธีรักษา : สิวประเภทนี้ไม่สามารถรักษาได้ด้วยตัวเองเนื่องจากเป็นการอักเสบขั้นรุนแรง เพราะอาจทำให้เชื้อลุกลามมากขึ้นและถ้ารักษาผิดวิธีอาจจะเกิดแผลเป็น หลุมสิว ตามมาได้ การรักษาควรรักษาโดยแพทย์ผิวหนังโดยเฉพาะ

สิวที่หลัง

สิวที่หลังสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน หากเกิดกับผู้หญิงอาจจะส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันพอสมควร เพราะอาจจะสร้างความไม่มั่นใจต่อการแต่งตัวได้ เพราะอาจจะทำให้ไม่สามารถแต่งตัวได้ตามที่ต้องการ เช่นการใส่เสื้อ เกาะอก หรือ เสื้อเว้าหลัง ที่เน้นการโชว์ความเนียนของแผ่นหลัง ซึ่งอาจจะทำให้คุณผู้หญิงหลายคนเสียความมั่นใจในการแต่งตัวได้

     วิธีการรักษา : สามารถใช้ยาทา หรือ ใช้ ซิลิโคนเจลทาได้ปกติ สำหรับคนที่มีสิวที่หลังไม่เยอะมาก จะใช้วิธีการแต้มเป็นจุดๆ เพื่อให้สิวหายไป และลดรอยแผลเป็นได้ แต่ถ้าหากใครเป็นสิวทั่วทั้งหลังเรื้องรังและรุนแรง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม

สิวผด

การเกิดสิวผดนั้น ส่วนใหญ่เกิดจากการแพ้อากาศ เพราะเมืองไทยถือเป็นเมืองร้อน ซึ่งอาจจะทำให้ใบหน้าของเราเกิดสิวเป็นผดขึ้นมาได้ ลักษณะของสิวผดจะเป็นตุ่มเล็กๆ ซึ่งอาจมีอาการคันหรือแสบร่วมด้วยได้ สาเหตุหลักๆเกิดจาก การทำความสะอาด และ การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ หรือ มีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน

     วิธีการรักษา: สามารถดูแลได้เหมือนการเป็นสิวทั่วไป คือการทำความสะอาดที่เหมาะสม ไม่ควรล้างหน้าให้บ่อยจนเกินไปเพราะจะทำให้ผิวแห้ง และไม่ควรเอามือไปลูบหน้า เพราะอาจจะลูบแรงจนทำให้เกิดการอักเสบขึ้นมาได้ สามารถเลือกใช้ ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของ Retinoid หรือการ มาสก์หน้าเพื่อบรรเทาอาการสิวผด

รอยแผลเป็นสิวที่พบได้มีกี่แบบ

หลังจากเกิดสิวขึ้นแล้ว เมื่อเราทำการรักษาและดูแล จนสิวดีขึ้น บางครั้งอาจหลงเหลือรอยด่างดำ หรือรอยแผลเป็นที่เกิดจากสิว ซึ่งอาจจะมาจากการเกา หรือการบีบสิวหรือการอักเสบ สำหรับใครที่กำลังประสบปัญญารอยแผลเป็นจากสิวโดยเฉพาะสิวอักเสบหากรักษาไม่ดีอาจเกิดเป็นรอยลึกหรือหลุมสิวและการเป็นแผลเป็นถาวรซึ่งอาจจะทำให้สูญเสียความมั่นใจได้

รอยแผลเป็นหลุมสิว

หลุมสิวมักเกิดขึ้นบนใบหน้า ซึ่งจะเป็นแผลที่มีหลักษณะเหมือนเป็นหลุมๆอยู่ใต้ผิวหนังโดยรอบ จะเกิดขึ้นเมื่อผิวหนังเกิดการสร้างคอลลาเจนที่ไม่เพียงพอในระหว่างที่แผลกำลังรักษาตัว

รอยแผลเป็นนูนจากสิว

รอยนูนจากสิวนั้นเป็นแผลเป็นชนิดหนึ่งจากสิวที่มักเกิดขึ้นบริเวณหน้าอก หรือ ที่หลัง โดยแผลเป็นจากสิวที่หลังหรือหน้าอกจะเกิดขึ้นเมื่อมีการสร้างคอลลาเจนมากเกินไปในขณะที่แผลกำลังรักษาตัว

รอยแผลเป็นจากสิว รอยดำ

ปัญหารอยแดงรอยดำจากสิว เกิดจากอาการอักเสบจาก การสร้างเม็ดเลือดสีที่เกินปกติ เป็นรอยที่เหลืออยู่บนผิวหนังจากเกิดสิวที่มีความรุนแรง โดยจะทิ้งรอยบนชั้นหนังกำพร้า ซึ่งรอยนี้ร่างกายสามารถรักษาตัวเองให้หายไปได้เมื่อเวลาผ่านไป

เรื่องสิวสิว มารู้จักประเภทของสิวกันเถอะ !

ปัญหาที่ทุกคนต้องเจอในช่วงวัยรุ่นไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ก็คือ ปัญหา “สิว” ซึ่งเป็นการอักเสบหรืออุดตันของต่อมไขมันในรูขุมขน และหากมีตัวกระตุ้นก็อาจจะมีการอักเสบจนกลายเป็นหนอง หรือสิวหัวช้าง ซึ่งส่วนมากจะเกิดขึ้นบริเวณใบหน้า ลำคอ ลำตัวส่วนบน และบั้นท้าย ซึ่งจะมีต่อมไขมันขนาดใหญ่อยู่อย่างหนาแน่น วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับสิวแต่ละประเภท ลักษณะของสิว พร้อมทั้งวิธีการดูแลเบื้องต้นกันค่ะ

สิวมีหลายประเภท สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศ ทุกวัย โดยเฉพาะในวัยรุ่น ซึ่งโดยทั่วไปสิวจะถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ กลุ่มสิวไม่อักเสบ และกลุ่มสิวอักเสบ ซึ่งทั้งสองประเภทนี้มีสาเหตุเริ่มต้นมาจากการอุดตันของต่อมไขมันในรูขุมขนเหมือนกัน ซึ่งอาจเกิดได้ทั้งจากปัจจัยต่างๆภายในร่างกาย ความผันผวนของฮอร์โมน ที่กระตุ้นการสร้างไขมันที่มากเกินไป หรือจากปัจจัยภายนอก เช่น สภาพแวดล้อม อากาศ เครื่องสำอาง อาหาร หรือยาบางชนิด ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่จะมีสิวหลายประเภทเกิดขึ้นพร้อมๆกัน หากคุณรู้จักแต่ละประเภทของสิวที่คุณกำลังประสบอยู่ ก็จะทำให้คุณทราบวิธีการรักษาที่เหมาะสม หรือต้องพบแพทย์ เพื่อไม่ให้สิวลุกลาม หรืออักเสบรุนแรงไปมากกว่าเดิมได้

กลุ่มสิวไม่อักเสบ

เป็นสิวที่ยังอยู่ในขั้นเริ่มต้น เพิ่งอุดตัน ยังไม่ลุกลาม ไม่มีอาการอักเสบ และมีความรุนแรงน้อย ไม่มีอาการปวด บวม หรือเจ็บ แต่อย่างไรก็ตาม อาจก่อให้เกิดความรำคาญและสร้างความไม่มั่นใจได้ โดยกลุ่มสิวไม่อักเสบจะประกอบไปด้วย

สิวหัวดำ (Blackheads)

สิวหัวดำ หรือสิวอุดตันหัวเปิด จะมีลักษณะเป็นตุ่มนูน จุดสีดำปรากฎบนผิวหนัง เกิดจากการอุดตันจากน้ำมันซีบัม (Sebum) และเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ทำปฏิกิริยากับออกซิเจนในอากาศ ทำให้ไขมันเป็นสีดำ พบได้ทุกที่ทั้งใบหน้า หน้าอก และแผ่นหลัง แต่มักจะพบมากบริเวณทีโซน คือ หน้าผาก จมูก และคางวิธีรักษาเบื้องต้น ทางออกที่ดีที่สุดสำหรับสิวหัวดำ คือการล้างหน้าด้วยกรดเบตาไฮดรอกซี (BHA) เช่น กรดซาลิไซลิก ซึ่งซึมลึกเข้าไปในรูขุมขน สามารถคลายรูขุมขน และทายารักษาสิวอุดตันที่มีส่วนผสมของ Benzoyl Peroxide ช่วยเปิดรูขุมขน ลดการอุดตัน และทำให้หลุดออกมาได้ง่ายขึ้น อีกทั้งยังสามารถใช้การกดสิวเพิ่มได้ด้วย

สิวหัวขาว (Whiteheads)

สิวหัวขาว หรือสิวอุดตันหัวปิด จะเกิดขึ้นเมื่อรูขุมขนอุดตัน โดยส่วนหัวของสิวหัวขาวจะปิดอยู่ มีลักษณะเป็นเม็ดตุ่มนูน เป็นก้อนเล็กๆ ภายในสิวจะเป็นไขมันสะสมอยู่เช่นเดียวกับสิวหัวดำ แต่บีบออกยาก เพราะรากสิวลึก เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนและการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีไขมันเป็นส่วนประกอบ ซึ่งสิวหัวขาวสามารถพัฒนาไปเป็นสิวหัวหนองได้วิธีรักษาเบื้องต้น สิวหัวขาวนั้นดูแลรักษายากกว่า เพราะไม่มีหัวสิว สามารถใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีกรดซาลิไซลิก และยาที่มีส่วนผสมของ Tretinoin ยากลุ่มกรดวิตามินเอเพื่อช่วยได้บรรเทาได้ แต่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้งาน เพราะอาจมีผลข้างเคียง ไม่ควรกด บีบสิว เพราะหัวสิวยังไม่เปิด จะทำให้สิวติดเชื้อและกลายเป็นสิวอักเสบได้ อีกทั้งควรหลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีส่วนประกอบของน้ำมัน

กลุ่มสิวอักเสบ

เป็นสิวที่มีการอุดตันของรูขุมขนรุนแรงมากขึ้น ร่างกายผลิตไขมันเพิ่มมากขึ้น และมีการอักเสบร่วมด้วย ซึ่งมักจะพัฒนาจากกลุ่มสิวไม่อักเสบที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง อาจจะติดเชื้อแบคทีเรียในบริเวณรูขุมขนที่ก่อให้เกิดการติดเชื้อลึกลงไปใต้ผิวหนังได้ โดยระบบภูมิคุ้มกันจะสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาวมาต่อสู้กับแบคทีเรีย ทำให้เกิดการอักเสบ เจ็บ มีลักษณะบวมแดง และเป็นหนองขึ้นมาได้

สิวที่มีตุ่มนูนแดง (Papules)

สิวตุ่มนูนแดงเป็นการพัฒนามาจากสิวหัวขาวที่ได้รับการติดเชื้อแบคทีเรีย เมื่อระบบภูมิคุ้มกันจะสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาวมาต่อสู้กับแบคทีเรีย จึงทำให้เกิดการอักเสบ เป็นสิวอักเสบในระยะแรกที่พัฒนามาจากกลุ่มสิวไม่อักเสบ มีลักษณะเป็นตุ่มแดงขนาดเล็ก ไม่มีหัวสิว และบวมแดงอยู่บนผิวหนัง มีอาการเจ็บเมื่อใช้นิ้วกดลงไป อาจมีการพัฒนาไปเป็นสิวหัวหนองได้ หรือลุกลามไปทั่วบริเวณได้หากไม่ได้รับการดูแลที่ถูกต้องวิธีรักษาเบื้องต้น ไม่ควรแคะแกะเกา หรือกดสิว เนื่องจากเป็นสิวที่ไม่มีหัวสิว ควรใช้ยารักษาสิวอุดตันที่มีส่วนผสมของ Benzoyl Peroxide ช่วยเปิดรูขุมขน ต้านเชื้อแบคทีเรีย และลดการอุดตัน หลังจากนั้นควรล้างหน้าให้สะอาดแบบอ่อนโยน ไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่มีส่วนผสมของสครับ เพราะจะทำให้ระคายเคืองและอักเสบเพิ่มได้

สิวหัวช้าง (Nodules)

สิวหัวช้างเป็นสิวที่เกิดจากการอักเสบชนิดรุนแรงบริเวณใต้ผิวหนังเป็นระยะเวลานาน อาจเป็นการพัฒนามาจากทั้งสิวที่มีตุ่มนูนแดงที่เชื้อแบคทีเรียแตกกระจายออก ทำให้เกิดการอักเสบและบวมแดงมากขึ้น ซึ่งจะประกอบไปด้วยเซลล์ผิวหนังที่ตายแล้ว น้ำมัน และเชื้อแบคทีเรียสะสมอยู่ มักเกิดในวัยรุ่นที่มีผิวมันค่อนข้างมาก มีลักษณะเป็นตุ่มแข็งสีแดงขนาดใหญ่ ไม่มีหัวสิว ไม่มีจุดกึ่งกลางชัดเจนอยู่บริเวณใต้ผิวหนัง จับแล้วจะเป็นเหมือนไตแข็งๆ เจ็บปวดเมื่อสัมผัส อาจพบหลายหัวสิวในหนึ่งตุ่มวิธีรักษาเบื้องต้น สิวหัวช้างนั้นรักษาด้วยตัวเองค่อนข้างยาก เพราะเป็นสิวที่มีขนาดใหญ่และอักเสบรุนแรง ไม่สามารถรักษาเองได้ด้วยยาจากร้านขายยาทั่วไป ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเฉพาะทางเพื่อทำการรักษาที่เหมาะสม ซึ่งหากรักษาผิดวิธีจะทำให้เกิดการอักเสบที่รุนแรงมากขึ้นและทำให้เกิดรอยแผล เป็นก้อนนูน หรือหลุมสิวบนผิวหนังได้

สิวซีสต์ (Cysts)

สิวซีสต์เป็นสิวที่ใหญ่ที่สุด รุนแรงที่สุด และทำการรักษาได้ยากที่สุดในบรรดากลุ่มสิวอักเสบ เกิดจากการอุดตันของรูขุมขนใต้ผิวหนัง ซึ่งเป็นผลมาจากการติดเชื้อแบคทีเรียลึกลงไปในผิวหนัง มีของเหลว เลือดหรือหนองสะสม มีลักษณะคล้ายกับก้อนเนื้อ มีขนาดใหญ่ บวมแดง และเจ็บปวดมากแม้จะไม่ได้สัมผัสสิวโดยตรง โดยสิวซีสต์จะมีลักษณะนิ่มกว่าสิวหัวช้าง เนื่องจากมีหนองสะสมและมักจะแตกออก ทำให้เกิดการติดเชื้อที่ผิวหนังโดยรอบ โดยสิวซีสต์นั้นแม้ว่าจะรักษาจนยุบหายแล้ว ก็อาจจะสร้างแผลเป็นนูนหรือหลุมสิวได้วิธีรักษาเบื้องต้น เช่นเดียวกับสิวหัวช้าง การใช้ยาจากร้านขายยาทั่วไปไม่สามารถรักษาสิวซีสต์ได้ ควรรีบปรึกษาแพทย์ผิวหนังเฉพาะทางเพื่อได้รับการรักษาที่เหมาะสม เพราะเป็นสิวขนาดใหญ่ อักเสบอย่างรุนแรง และสามารถกลายเป็นแผลได้หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง โดยแพทย์อาจจะต้องสั่งยาปฏิชีวนะ ยาทาหลายชนิด หรือต้องใช้การฉีดสเตียรอยด์เพื่อยับยั้งการอักเสบและรักษาสิวประเภทนี้ ในกรณีที่รุนแรงมาก อาจจะต้องทำการผ่าตัดเพื่อเอาซีสต์ออก

สิวประเภทอื่นๆ

นอกจากกลุ่มสิวไม่อักเสบและกลุ่มสิวอักเสบแล้ว ยังมีสิวอีก 2 ประเภทที่หลายคนมักเข้าใจผิดอยู่ นั่นก็คือ สิวเสี้ยน และสิวผด ซึ่งจริงๆแล้วทั้งสองอย่างนี้ไม่ใช่สิวอย่างที่หลายคนเข้าใจ อีกทั้งไม่ใช่โรคด้วย

สิวเสี้ยน (Sebaceous filament)

สิวเสี้ยนมีลักษณะเป็นเสี้ยนเล็กๆตามรูขุมขน เป็นไขมันที่เกิดขึ้นได้ในบริเวณที่ผิวมีความมันมาก เป็นเส้นใยไขมันที่เกาะตามท่อของรูขุมขน มีลักษณะคล้ายกับสิวอุดตัน เกิดจากการสะสมของชั้นขี้ไคลร่วมกับขนอ่อนในรูขุมขนนั้นๆ ซึ่งมีเส้นขนมากถึง 5-50 เส้น สิวเสี้ยนสามารถพบได้หลายบริเวณในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นแผ่นหลัง ต้นแขน จ้นขา แต่บริเวณที่พบและเป็นที่สังเกตได้มากที่สุด คือบริเวณจมูก และผิวระหว่างคิ้ว โดยสิวเสี้ยนจะต่างจากสิวหัวดำตรงที่ สิวหัวดำจะมีขนาดใหญ่กว่า และเมื่อบีบจะเป็นก้อนหัวสิวหลุดออกมา แต่หากเป็นสิวเสี้ยน เมื่อบีบจะเป็นเส้นไขมันยาวๆออกมาแทนวิธีรักษาเบื้องต้น การล้างเครื่องสำอางออกให้สะอาดหมดจดจะช่วยในเรื่องของสิวเสี้ยนได้ โดยเลือกใช้เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ไม่มีส่วนประกอบของน้ำมัน อาจเลือกใช้ยาทาที่ช่วยลดการอุดตัน เช่น ยากลุ่มกรดวิตามินเอ และยาแต้มสิวที่มีส่วนผสมของ Benzoyl Peroxide ในปริมาณที่พอเหมาะ เพื่อช่วยให้สิวเสี้ยนหลุดออกได้ง่ายขึ้น

สิวผด (Acne Aestivalis)

สิวผด สิวเทียม หรือสิวหิน เป็นอีกหนึ่งอย่างที่คนเข้าใจผิดว่าเป็นหนึ่งในประเภทของสิว แต่ในความเป็นจริงแล้ว สิวผดคือเนื้องอกของต่อมเหงื่อ มีลักษณะเป็นตุ่มนูนเล็กๆ สีแดง แข็ง กระจายอยู่ทั่ว คล้ายเป็นผดอยู่บนผิว และในบางคนอาจมีอาการแสบและคันร่วมด้วย ซึ่งมักจะเกิดขึ้นในบริเวณที่มีต่อมเหงื่อเยอะ เช่น รอบดวงตา โดยสิวผดเกิดได้จากหลายสาเหตุ และจะมีอาการเห็นได้ชัดเวลาเจอแสงแดดร้อนๆ สภาวะอากาศที่ร้อน อับชื้น เพราะความร้อนจะทำให้ต่อมไขมันทำงานหนัก และต่อมเหงื่ออุดตัน นอกจากนี้ยังอาจเกิดได้จากการแพ้สิ่งแวดล้อมอื่นๆ เช่น แพ้น้ำ แพ้ฝุ่น มลภาวะทางอากาศ หรือแพ้เหงื่อของจนเอง เกิดการระคายเคืองที่ผิวหนังจากสราเคมี เครื่องสำอาง หรือผลิตภัณฑ์สำหรับผิวหนังอื่นๆ หรืออาจเกิดรูขุมขนอักเสบจากเชื้อราประเภทยีสต์ (Malassezia folliculitis หรือเดิมเรียกว่า Pityrosporum folliculitis) โดยหากมีน้ำมันส่วนเกินมาก จะกลายเป็นอาหารของยีสต์ชนิดนี้วิธีรักษาเบื้องต้น หากเป็นสิวผดแบบไม่อักเสบ ไม่จำเป็นต้องพบแพทย์ สามารถใช้ยารักษาสิว เช่น ยาคีโตโคนาโซล (Ketoconazole) หรือยาอะดาพาลีน (Adapalene) ที่ช่วยรักษาสิวที่เกิดจากยีสต์ได้ เร่งผลัดเซลล์ผิว แต่หากมีการอักเสบควรพบแพทย์ผิวหนังเฉพาะทางเพื่อทำการรักษา โดยนอกจากการใช้ยารักษาแล้ว ยังมีวิธีการดูแลป้องกันง่ายๆ เช่น การล้างหน้าให้ถูกวิธี อย่าใช้มือสกปรกไปจับใบหน้า หลีกเลี่ยงการตากแดดจัดเป็นเวลานาน แต่หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ ให้ล้างหน้าด้วยน้ำเปล่าเพื่อลดอุณหภูมิของผิวหน้า อย่านอนดึก ลดความเครียด ก็จะช่วยหลีกเลี่ยงการเกิดสิวผดได้เช่นกันเมื่อทราบถึงประเภทของสิวที่คุณกำลังประสบอยู่ รวมไปถึงการรักษาเบื้องต้นไปแล้ว ก็จะทำให้คุณสามารถเลือกวิธีการดูแลรักษาสิว และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์อย่างเหมาะสม เพื่อไม่ให้สิวลุกลาม หรืออักเสบรุนแรงไปมากกว่าเดิมได้

สรุปวิธีรักษาสิวที่ถูกต้อง

การดูแลรักษาแผลเป็นจากสิวทางที่ดีควรเริ่มจากการป้องกันไม่ให้เกิดสิวก่อนโดยต้องรู้จักสาเหตุที่ทำให้เกิด เพื่อไม่ให้มีปัญหาตามมา อย่างเช่นแผลเป็น แต่หากเกิดขึ้นแล้วควรรักษาให้ถูกวิธีตามลักษณะของสิวเท่านี้แผลเป็นหลุมสิว ก็จะหายไป ใช้การทายา หรือ ซิลิโคนเจลในการลบรอยแผลเป็นจากสิว เพราะซิลิโคนเจลอย่าง Strataderm สามารถช่วยทำให้แผลชุ่มชื้น และยังทำให้แผลหายเร็วขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้ยังช่วยในการลดรอยด่างดำที่เกิดขึ้นจากแผลเป็นทั่วไป

Scroll to Top