แผลคีลอยด์คืออะไร รักษาได้ยังไงบ้าง?
แผลคีลอยด์ (Keloid) คือ แผลเป็นที่มีลักษณะนูนและขยายวงกว้างจนมีขนาดใหญ่กว่าบาดแผลที่เกิดขึ้นซึ่งเกิดจากกลไกการสร้างเนื้อเยื่อเพื่อสมานแผลตามธรรมชาติ แผลคีลอยด์จะเกิดหลังจากบาดแผลนั้นหายสนิทแล้วโดยอาจเกิดขึ้นทันทีหรือหลังจากแผลหายดีแล้วสักพักก็ได้ แผลเป็นคีลอยด์ไม่ใช่ภาวะที่เป็นอันตรายแต่ก็อาจทำให้รู้สึกคัน ระคายเคือง หรือเจ็บได้บ้างรวมถึงแผลเป็นอาจขยายใหญ่และนูนขึ้นเรื่อยๆ จนส่งผลต่อความสวยงามและความมั่นใจของคนป่วยได้

อาการของแผลคีลอยด์
แผลคีลอยด์จะมีลักษณะบวมนูนและขยายใหญ่กว่าขนาดของบาดแผลเดิมโดยอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์จนถึงหลายเดือนจึงจะมีขนาดใหญ่เต็มที่ซึ่งอาการที่เด่นชัดของแผลเป็นคีลอยด์ที่เราจะสังเกตได้ ได้แก่
- แผลเป็นจะมีสีที่แตกต่างจากผิวหนังบริเวณโดยรอบ เช่น มีสีชมพู แดงม่วง น้ำตาลคล้ำ หรือซีดลง
- ผิวหนังที่เป็นแผลคีลอยด์จะนูนหรือยกตัวขึ้นมาเป็นก้อนชัดเจน และแข็งคล้ายยาง
- แผลเป็นมีลักษณะเป็นมันเงา และไม่มีขนขึ้น
- แผลเป็นจะนูนและมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
- บริเวณแผลเป็นอาจมีอาการคัน ระคายเคือง เจ็บ หรือตึงได้
แม้แผลเป็นคีลอยด์จะไม่ทำให้เกิดอาการรุนแรงหรือเป็นอันตรายแต่ถ้าเกิดขึ้นในบริเวณที่มองเห็นชัด เช่น แก้ม จมูก หรือหูก็อาจส่งผลในเรื่องความสวยงาม หรือหากเกิดในร่มผ้าก็อาจทำให้รู้สึกคันระคายเคืองเวลาที่สวมใส่เสื้อผ้า หรือรู้สึกตึงจนเคลื่อนไหวลำบากได้
แผลคีลอยด์ เกิดจากอะไร?
แผลเป็นคีลอยด์เกิดจากกระบวนการรักษาบาดแผลตามธรรมชาติ เมื่อผิวหนังเกิดบาดแผลขึ้นร่างกายจะสร้างเนื้อเยื่อเกี่ยวพันและคอลลาเจนขึ้นมาใหม่เพื่อปิดปากแผลและซ่อมแซมผิวหนังที่เสียหายและเมื่อแผลหายสนิทแล้วร่างกายก็จะหยุดกระบวนการดังกล่าว แผลเป็นจึงค่อยๆยุบและจางลงไปเอง แต่ในกรณีที่ร่างกายมีการสร้างเนื้อเยื่อเกี่ยวพันและคอลลาเจนมากเกินกว่าปกติก็อาจทำให้เกิดแผลเป็นนูนที่มีขนาดใหญ่ขึ้นและขยายขอบเขตไปเรื่อยๆ ได้
แผลคีลอยด์มีโอกาสเกิดขึ้นได้หลังการเกิดบาดแผลใดๆก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นแผลจากสิว แผลจากของมีคมบาด แผลเป็นอีสุกอีใส แผลไฟไหม้แผลจากการผ่าตัดหรือศัลยกรรม หรือแม้แต่แผลจากการเจาะ สัก และฉีดยา ซึ่งแผลคีลอยด์สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนและมีโอกาสพบได้ราวๆ 10%
แผลเป็นคีลอยด์มักเกิดกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชายและเกิดในผู้ใหญ่มากกว่าเด็ก ซึ่งเชื่อว่าพันธุกรรมน่าจะเป็นปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งคนที่มีคนในครอบครัวเคยเป็นคีลอยด์ จึงมีความเสี่ยงจะเกิดแผลเป็นชนิดนี้ได้มากกว่าคนอื่นๆด้วย
แผลคีลอยด์ รักษายังไง?
ปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาคีลอยด์ที่ได้ผล100% มีเพียงวิธีการลดความรุนแรงและป้องกันไม่ให้แผลเป็นมีขนาดใหญ่กว่าเดิมรวมถึงช่วยให้สภาพของแผลเป็นดูดีขึ้นและส่งผลกระทบต่อผู้ป่วยน้อยที่สุดซึ่งวิธีการรักษาที่นิยมใช้กัน ได้แก่
1) ใช้แผ่นแปะแผลคีลอยด์ แผ่นแปะดังกล่าวมักมาในรูปแบบเจลหรือซิลิโคนซึ่งใช้แปะบนแผลเป็นทุกวันต่อเนื่องกันเป็นเวลาหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน โดยแรงกดและการป้องกันไม่ให้แผลเป็นสัมผัสอากาศรวมถึงตัวยาในแผ่นแปะจะช่วยให้แผลคีลอยด์ยุบลงได้ในระดับหนึ่ง
2) ใช้ยาทารักษาแผลเป็น ยาทาสำหรับแผลเป็นคีลอยด์มีทั้งรูปแบบเจลและครีม ซึ่งส่วนใหญ่จะมีส่วนผสมของเรตินอยด์วิตามิน A C และ E ซึ่งจะช่วยลดการบวมอักเสบและช่วยให้แผลเป็นนูนอ่อนนุ่มและยุบลงได้ แต่การทายานั้นเห็นผลค่อนข้างช้าและไม่สามารถรักษาแผลคีลอยด์ที่มีขนาดใหญ่มากๆ ได้
3) การฉีดแผลคีลอยด์ โดยตัวยาที่แพทย์มักใช้ฉีด ได้แก่ คอร์ติโซนสเตียรอยด์ อินเทอร์เฟอรอนหรือยาต้านมะเร็งบางชนิด ซึ่งจะช่วยต้านการอักเสบ ลดอาการเจ็บระคายเคืองและช่วยให้แผลเป็นเล็กลง โดยอาจต้องทำการฉีดหลายครั้งหรือรักษาร่วมกับวิธีอื่นๆด้วย จึงจะเห็นผลอย่างชัดเจน
4) การเลเซอร์แพทย์จะใช้เลเซอร์ที่อ่อนโยนต่อผิวเพื่อลดการสร้างเนื้อเยื่อเกี่ยวพันและทำให้แผลคีลอยด์มีขนาดเล็กลงและอักเสบน้อยลงโดยการรักษาด้วยเลเซอร์เป็นวิธีที่ค่อนข้างได้ผลแต่จำเป็นต้องทำซ้ำหลายครั้งและมีราคาสูง
5) การผ่าตัด วิธีนี้เหมาะจะใช้รักษาแผลเป็นคีลอยด์ที่มีขนาดใหญ่และนูนขึ้นเรื่อยๆซึ่งแพทย์จะทำการตัดก้อนผิวหนังบริเวณนั้นออก อย่างไรก็ตามการผ่าตัดมีความเสี่ยงเพราะอาจทำให้เกิดแผลคีลอยด์ที่มีขนาดใหญ่กว่าเดิมจึงอาจต้องรักษาร่วมกับวิธีอื่นๆ เช่น การใช้แผ่นแปะ การฉีดยาสเตียรอยด์หรือการเลเซอร์ เป็นต้น
6) การรักษาด้วยความเย็น เป็นการใช้ไนโตรเจนเหลวที่มีความเย็นจัดเพื่อทำให้แผลคีลอยด์เรียบลงและไม่บวมนูนมากไปกว่าเดิม ซึ่งเหมาะกับแผลเป็นขนาดเล็กที่ยังไม่ขยายขนาดเต็มที่

Stratacel – รักษาแผลเป็นจากการเลเซอร์
แผลคีลอยด์ พบได้ที่ไหนบ้าง?
แผลคีลอยด์พบได้บนผิวหนังทุกส่วนทั่วร่างกายโดยเฉพาะบริเวณใบหน้า หน้าอก หลัง หัวไหล่ หน้าท้อง แขน และขาซึ่งเป็นบริเวณที่เกิดบาดแผลได้บ่อยๆ

แผลคีลอยด์หลังการศัลยกรรมและเสริมความงาม
การเกิดแผลคีลอยด์หลังผ่าตัดศัลยกรรมและเสริมความงามนั้นแม้จะพบได้ไม่บ่อยนักแต่ก็เป็นภาวะแทรกซ้อนที่หลีกเลี่ยงได้ยากและบ่อยครั้งก็ไม่ได้เกิดจากกรรมวิธีการผ่าตัดหรือความผิดพลาดของแพทย์ โดยปัญหาแผลคีลอยด์หลังการศัลยกรรมที่มีโอกาสพบได้ได้แก่
– แผลคีลอยด์หลังทำตาสองชั้น โดยปกติผิวหนังบริเวณเปลือกตามักเกิดแผลเป็นนูนขนาดใหญ่ได้น้อยมากแต่ในคนไข้บางคนก็อาจพบแผลคีลอยด์บริเวณรอยผ่าหรือรอยกรีดที่เปลือกตาได้เช่นกันซึ่งหากแผลเป็นนั้นเห็นชัดเจนและส่งผลต่อการมองเห็น ก็อาจต้องทำการรักษาต่อไป
– แผลคีลอยด์หลังทำจมูก การผ่าตัดเสริมจมูกอาจทำให้เกิดแผลคีลอยด์ได้โดยเฉพาะหากใช้วิธีผ่าตัดเปิด (ผ่าแบบOpen) หรือแผลผ่ามีการอักเสบ ติดเชื้อซึ่งจะยิ่งทำให้แผลเป็นมีขนาดใหญ่ วิธีป้องกันที่ช่วยได้คือการดูแลแผลหลังผ่าตัดให้ดีระวังไม่ให้แผลโดนน้ำหรือสกปรก ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดแผลเป็นนูนได้
– แผลคีลอยด์หลังตัดปีกจมูก การตัดปีกจมูกส่วนใหญ่จะต้องกรีดเปิดผิวหนังจากภายนอกจึงมีโอกาสเกิดแผลคีลอยด์ได้เช่นกันใครที่มีประวัติเคยเป็นคีลอยด์มาก่อนจึงควรปรึกษาแพทย์ล่วงหน้า และการดูแลแผลหลังผ่าตัดให้สะอาดก็อาจช่วยป้องกันการเกิดแผลเป็นขนาดใหญ่ได้
– แผลคีลอยด์ที่หูแผลเป็นคีลอยด์ที่ใบหูอาจเกิดขึ้นหลังการเจาะหรือระเบิดหูซึ่งหากมีขนาดเล็กก็สามารถทายาหรือฉีดยาเพื่อให้แผลเป็นยุบลงได้แต่หากแผลเป็นมีขนาดใหญ่ก็อาจจำเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัด
สรุป
แผลคีลอยด์นั้นสามารถเริ่มรักษาได้แม้หลังจากเกิดแผลเป็นมานานหลายปีแล้วซึ่งการรักษาแต่ละวิธีจะให้ผลที่แตกต่างกันไปใครที่มีปัญหาแผลเป็นคีลอยด์ก็สามารถปรึกษาแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาที่เหมาะสมกับสภาพอาการของตัวเองได้