ปัญหารอยสิวบนใบหน้าเป็นสิ่งทีทุกคนต้องเคยพบเจอ ไม่ว่าจะเป็นสิวผด สิวอุดตัน หรือสิวอักเสบ ซึ่งเป็นผลมาจากสภาพแวดล้อม ฝุ่น PM2.5 การใส่แมสก์ป้องกันโควิด เป็นต้น และแม้ว่าเราจะรักษาจนสิวลดลงไปแล้วนั้น แต่มันยังทิ้งรอยสิว รอยดำ รอยแดง เอาไว้ให้เราปวดใจและต้องหาทางรักษาอีก
โดยในการรักษารอยแผลเหล่านั้น คุณควรดูแลผิวหน้าด้วยการรักษาความสะอาดอย่างถูกต้อง เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมในการช่วยทำความสะอาด และดูแลผิวหน้าให้ถูกวิธีเพื่อช่วยลดรอยสิวและป้องกันการเกิดสิวใหม่
ผลิตภัณฑ์ลดรอยแผลเป็น ลดรอยสิวส่วนใหญ่นั้นจะมีส่วนผสมเดิมที่ซ้ำกันอยู่ ไม่ว่าจะเป็น Allium Cepa, Centella Asiatica, Vitamin E, Vitamin B3 หรือ Niacinamide, และ Hyaluronic Acid วันนี้เราจะมาเจาะลึกสุดยอมส่วนผสมช่วยลดรอยแผลเป็นเหล่านี้กันค่ะ
1. Allium Cepa สารสกัดจากหัวหอม
.png)
หัวหอมมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยในการลดการอักเสบของแผล และทำให้รอยแผลจางลง จึงเป็นหนึ่งในสารสกัดจากธรรมชาติที่เป็นที่นิยมนำมาสกัดเป็นยารักษาแผลเป็นมากที่สุดอย่างหนึ่ง
สารสกัดจากหัวหอม หรือ Allium Cepa นั้นเป็นส่วนผสมที่มีอยู่ในสกินแคร์ลดรอยแผลเป็นเกือบทุกแบรนด์ โดยจะมีสารประเภทกลุ่ม Flavonoid เช่น Quercetin และ Kaempferol อยู่ในนั้น ซึ่งเป็นสารสำคัญที่ช่วยลดการอักเสบ ต้านเชื้อแบคทีเรีย และลดการสร้างคอลลาเจนบริเวณแผล ทำให้รอยแผลจางลง
มีคุณสมบัติในการ
- ช่วยลดการอักเสบ ลดการเกิดรอยแผลเป็นนูน และชะลอการทำงานของเซลล์ที่เป็นตัวสร้างโปรตีน อย่างคอลลาเจนและอิลาสตินซึ่งเป็นสาเหตุในการเกิดรอยแผลเป็นนูน อีกทั้งยังทำให้แผลเป็นนิ่มขึ้นด้วย
- ช่วยกระตุ้นการหมุนเวียนของเลือดเข้าสู่รอยแผล เพื่อทำให้รอยแผลมีสีจางลงและไม่นูนแข็ง
- ช่วยลดการหลั่งของสารฮิสตามีน (Histamine) ซึ่งเป็นต้นเหตุของอาการแพ้ ทำให้การรักษารอยแผลมีประสิทธิภาพมากขึ้น
2. Centella Asiatica สารสกัดจากใบบัวบก
.png)
ใบบัวบกมีคุณสมบัติช่วยการสมานแผล ลดการอักเสบของผิว เร่งสร้างเนื้อเยื่อ ซึ่งจะทำให้แผลหายได้อย่างรวดเร็ว และยังสามารถกำจัดแบคทีเรียได้ในเวลาเดียวกัน จึงถูกนำมาใช้เป็นส่วนผสมหลักในยาและครีมลดรอยแผลมากที่สุดอย่างหนึ่งทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ
จากงานวิจัยพบว่า สารสกัดจากใบบัวบกนั้นมีคุณสมบัติเทียบเท่ากับยาแผนปัจจุบัน โดยจะมีสารประเภท Madecassid และ Asiaticoside ในอัตราส่วนความเข้มข้นที่เหมาะสม ซึ่งจะมีส่วนช่วยในการลดรอยแผลเป็น อีกทั้งยังมีคุณสมบัติในการ
- ยับยั้งการเกิดรอยแผลเป็นนูน
- ช่วยสมานรอยแผลให้มีขนาดเล็กลง และทำให้แผลหายเร็ว
- ลดการอักเสบ และช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา
- ลดอาการช้ำใน รวมทั้งอาการบวมช้ำได้อย่างรวดเร็ว
- ลดรอยแผลเป็น รอยดำ รอยแดง
3.Vitamin E วิตามินอี
วิตามินอีเป็นวิตามินที่ร่างกายไม่สามารถผลิตเองได้ โดยมีคุณสมบัติในการช่วยให้ร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซ่อมแซมเซลล์ที่เสียหาย ช่วยต้านอนุมูลอิสระซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายในเซลล์และไปขัดขวางการฟื้นตัวการฟื้นตัวของแผล
นอกจากนี้วิตามินอียังช่วยลดการอักเสบของผิว ลดการเกิดริ้วรอย ช่วยสมานแผล ผลัดเซลล์ผิว และบำรุงให้ผิวชุ่มชื้น อีกทั้งวิตามินอียังมีส่วนสำคัญในการสร้างคอลลาเจนที่จะช่วยในการสร้างความยืดหยุ่นของผิวหนัง ซึ่งวิตามินอีนั้นถือเป็นหนึ่งในส่วนผสมยอดฮิตของครีมลดรอยแผลเป็นมาตั้งแต่สมัยก่อนจนมาถึงในปัจจุบันเลยก็ว่าได้
4. Niacinamide ไนอาซินาไมด์ หรือ Vitamin B3 วิตามินบี 3
Niacinamide หรือที่รู้จักกันในชื่อ วิตามินบี 3 ซึ่งเป็นวิตามินในกลุ่ม B-Complex เป็นวิตามินที่ดีและมีประโยชน์กับผิวเป็นอย่างมาก ช่วยฟื้นฟูและบำรุงผิวหนัง ลดอาการระคายเคือง ลดริ้วรอยจุดด่างดำ และปรับสีผิวให้สม่ำเสมอได้เป็นอย่างดี
วิตามินบี 3 จึงเป็นส่วนผสมยอดนิยมที่ผสมอยู่ในสกินแคร์ลดรอยแผลเป็นประเภท Whitening ความขาวกระจ่างใสในหลากหลายแบรนด์ เพราะมีส่วนช่วยในการลดเม็ดสีเมลานิน ลดรอยแดง รอยดำ เร่งการผลัดเซลล์ผิว ต้านอนุมูลอิสระ อีกทั้งยังช่วยเพิ่มคอลลาเจนและอิลาสตินที่ช่วยให้เรื่องความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของผิวอีกด้วย
5. Hyaluronic Acid กรดไฮยาลูรอนิค
.png)
กรดไฮยาลูรอนิค หรือ Hyaluronic Acid นั้นเป็นส่วนผสมที่สำคัญของสารเติมเต็มที่ใช้ในหัตถการอย่างการฉีดฟิลเลอร์ โดยมีคุณสมบัติช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว จึงได้รับความนิยมในการนำมาเป็นหนึ่งในส่วนผสมของสกินแคร์ลดรอยแผล
โดยกรดไฮยาลูรอนิคนั้นมีส่วนช่วยให้ผิวเนียนนุ่น ลดเลือนริ้วรอย ผิวหนังตึงกระชับขึ้น ลดขนาดของบาดแผล ช่วยทำให้แผลหายเร็วขึ้น เร่งกระบวนการฟื้นฟูของเซลล์ผิว อีกทั้งยังเป็นตัวดูดความชุ่มชื้นให้แก่ผิวหนังอีกด้วย
คุณสามารถลองเช็คสกินแคร์ที่คุณใช้อยู่ว่ามีส่วนผสมเหล่านี้อยู่หรือไม่ หากไม่มีอาจหมายความได้ว่า คุณยังใช้สกินแคร์ผิดประเภท รักษาไม่ตรงจุด ซึ่งอาจมีผลทำให้รอยแผลเป็น และรอยสิวของคุณหายช้าลงได้ ดังนั้นควรเลือกผลิตภัณฑ์และวิธีการรักษาให้เหมาะสมกับรอยแผลเป็น ดูแลรักษาสม่ำเสมอเพื่อให้รอยแผลเป็นของคุณนั้นดีขึ้นและกลับมามั่นใจได้เหมือนเดิมค่ะ