celestethailand.com
Celeste Thailand

รักษาแผลเป็นบนใบหน้าต้องทำอย่างไร?

แผลเป็น คือ หนึ่งในอุปสรรคของความสวยงามที่สร้างความไม่มั่นใจให้กับหลายๆคน โดยเฉพาะแผลเป็นบนใบหน้า ที่อาจจะเกิดจากอุบัติเหตุใหญ่ หรือความซุ่มซ่ามเล็กๆน้อยๆ ไม่ว่าจะเป็นแผลขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ หากทิ้งร่องรอยจนกลายเป็นแผลเป็นแล้วก็จะต้องใช้เวลาในการรักษาเพื่อให้แผลจางหายไป

แผลเป็นมีหลายประเภท ขึ้นอยู่กับลักษณะของแผลที่แตกต่างออกไป เช่น คีลอยด์ (Keloid) แผลเป็นนูน (Hypertropic scars) แผลลึกบุ๋ม (Depressed scar) แผลเป็นหดรั้ง (Scar Contracture) และแผลเป็นจากสิว (Acne Scar) เป็นต้น ซึ่งแต่ละแบบก็จะมีวิธีการดูแลรักษาที่แตกต่างกันไป ตามปกติแล้วแผลเป็นอาจจะจางลงไปได้เองแต่ต้องใช้ระยะเวลา 1-2 ปีขึ้นไปขึ้นอยู่กับความรุนแรงของแผลด้วย

ปัจจุบันการดูแลรักษาแผลเป็นบนใบหน้านั้น สามารถทำได้หลายวิธีขึ้นอยู่กับลักษณะของแผลเป็น ซึ่งต้องให้แพทย์เป็นผู้ให้คำแนะนำ แพทย์อาจจะใช้วิธีเดียวหรือหลายๆวิธีร่วมกันเพื่อให้ผลออกมาดีที่สุด

วิธีรักษาแผลเป็นบนใบหน้า

  • ทายารักษาแผลเป็น

    การทายาเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด ควรเลือกยาที่เหมาะกับลักษณะของแผลเป็นหรือตามแพทย์สั่ง ซึ่งมักใช้ยาที่มีส่วนประกอบของวิตามิน E, วิตามิน A, วิตามินบี 3, ซิลิโคนเจล และยากลุ่มสเตียร์รอยด์ ที่จะช่วยลดอาการคันช่วงที่มีแผล ทำให้แผลเป็นสีจางลงและบางลง เหมาะกับแผลที่เป็นรอยดำ สีผิวผิดปกติ เสริมการสร้างคอลลาเจนบริเวณรอบแผลซ่อมแซมผิวให้กลับมาสมบูรณ์

  • ใช้แผ่นซิลิโคนแปะรักษาแผลเป็น

    แผ่นซิลิโคนสำหรับรักษารอยแผลเป็น สามารถใช้ตั้งแต่แผลเพิ่งหายเพื่อป้องกันการเกิดแผลคีรอยด์และแผลเป็นนูน ยิ่งใช้เร็วยิ่งได้ผลดี แผ่นซิลิโคนจะคลุมแผลเป็น ทำให้เก็บกักความชุ่มชื้น ช่วยให้แผลเป็นแบนราบลง ความนูนลดลง แผลนุ่มขึ้น และสีจางลง ปลอดภัยสำหรับทั้งเด็กและผู้ใหญ่

  • ฉีดสารเติมเต็ม (Filler)

    ในกรณีที่แผลเป็นมีลักษณะเป็นแผลลึกบุ๋มลงไปจากผิวหนัง สามารถใช้การฉีดฟิลเลอร์ที่เป็นสารเติมเต็มสกัดมาจากไฮยาลูโรนิคแอซิด เข้าไปในรอยบุ๋มเพื่อทำให้ผิวดูเต่งตึงขึ้น สารนี้จะสามารถอยู่ได้ประมาณ 6-8 เดือน ก่อนที่จะสลายหายไป ต้องเติมใหม่อยู่เรื่อยๆ และไม่มีอันตรายต่อผิว

  • ฉีดยาสเตียร์รอยด์เพื่อลดขนาดของรอยแผลเป็น

    หากเป็นกรณีที่แผลเป็นมีลักษณะเป็นแผลนูนจากผิวหนัง สามารถใช้วิธีการฉีดยาสเตียร์รอยด์ หรือสารที่มีส่วนผสมของ Bleomycins ได้ เพราะจะช่วยทำให้ลดขนาดของรอยแผลให้เล็กลง และอ่อนนุ่มลงได้ ซึ่งการฉีดยาดังกล่าวควรอยู่ในการควบคุมของแพทย์เพื่อปรับใช้ยาในปริมาณที่เหมาะสม

  • ผลัดผิวด้วยวิทยาการ MD

    การผลัดผิวด้วยวิทยาการ MD (Microdermabrasion) เป็นการพ่นผงคริสตัลที่ทำด้วยผลึกอลูมิเนียมออกไซด์ลงบนผิวหนัง เพื่อขจัดเซลล์ผิวเก่าและสร้างเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาทดแทน จะมีส่วนช่วยในการทำให้แผลเป็นยุบลง ป้องกันไม่ให้แผลเป็นนูนมากขึ้น ลดรอยแดงที่เห็นได้ชัดของแผลลง รวมทั้งช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนที่จะทำให้แผลที่มีลักษณะลึก กลายเป็นแผลตื้นขึ้นได้อีกด้วย

  • ทำเลเซอร์ลบรอยแผลเป็น

    การรักษาโดยใช้พลังงานเลเซอร์ส่งผ่านเข้าสู่ชั้นผิวหนัง สามารถช่วยลบรอยแผลเป็นบนใบหน้า และทำให้เกิดการสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ ทำให้ผิวเรียบเนียน ริ้วรอยลดเลือนลง โดยจะมีรอยแดงเพียงเล็กน้อย และไม่จำเป็นต้องทำการพักฟื้น จำนวนครั้งในการทำอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคลและลักษณะของแผลเป็น การเลเซอร์ลบรอยแผลเป็นนั้นมีอยู่หลายประเภท ทั้งสำหรับรอยแผลตื้น รอยแผลที่มีสีเข้ม และแผลเป็นนูน เป็นต้น 

  • ศัลยกรรมผ่าตัด

    วิธีดั้งเดิมในการรักษาแผลเป็นที่เห็นผลอย่างชัดเจนก็คือการศัลยกรรมผ่าตัด เพื่อลดความกว้างและความนูนของแผลเป็น หรือเปลี่ยนเป็นแผลใหม่ที่กลมกลืนไปกับรอยย่นหรือรอยพับของผิวหนัง โดยการจัดรูปทรงและตำแหน่งของแผลเป็นให้ดูดีขึ้น เป็นวิธีที่เหมาะกับแผลเป็นที่เป็นมานาน และไม่สามารถรักษาด้วยวิธีอื่น

ในการรักษาแผลเป็นบนใบหน้าเป็นสิ่งที่ต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งแพทย์จะแนะนำวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับลักษณะของแผลเป็น เพื่อให้ได้ประสิทธิผลที่ดีที่สุด และไม่ให้เกิดแผลซ้ำเดิม ถึงแม้ว่าในขณะนี้อาจจะยังไม่มีวิธีใดที่รักษาแผลเป็นได้ถึง 100% แต่หากรักษาอย่างถูกวิธี ต่อเนื่องและเอาใจใส่ ก็จะส่งผลดีต่อแผลเป็น ทำให้แผลจางลงได้มาก พร้อมนำความมั่นใจกลับคืนมาให้กับคุณ

Scroll to Top